PREVALENCE RATE AND RELATED
FACTORS OF LOW BACK PAIN AMONG BUS DRIVERS IN BANGKOK BUS TERMINAL (CHATUCHAK)
นายวรศักดิ์
ยิ้มศิริวัฒนะ
Worrasak
Yimsiriwattana
อาจารย์ที่ปรึกษา
:
ผศ.นพ. สุนทร ศุภพงษ์ดร. สสิธร เทพตระการพร
Asst.Prof.
Soontorn Supapong, M.D., Msc. Sasitorn Taptagaporn, B.Sc., M.P.H., Ph.D.
วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต.
สาขาวิชาอาชีวเวชศาสตร์ 2548
Master.
Science (Occupational Medicine) 2548
วัตถุประสงค์
: เพื่อหาอัตราความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดหลังส่วนล่างของพนักงานขับรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัด
ในสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร)
วิธีวิเคราะห์
:
- รวบรวมข้อมูลและนำไปวิเคราะห์ โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป SPSS for window version 11.5
- ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่อายุน้ำหนัก ส่วนสูง ระยะทาง ระยะเวลาการทำงาน เวลาหยุดพัก จำนวนเที่ยวในการขับรถแต่ละวัน นำเสนอด้วยค่า เฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
- ข้อมูลเชิงคุณภาพ ได้แก่ การศึกษา โรคประจำตัว สูบบุหรี่ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมจิตสังคม ความอ่อนตัวของร่างกาย นำเสนอด้วยค่าความถี่ ร้อยละ
- ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านต่างๆกับการเกิดอาการปวดหลังส่วนล่าง โดยวิธีChi-square
- หาขนาดของความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านต่างๆกับการเกิดอาการปวดหลังส่วนล่าง โดยใช้Odds ratio และคำนวณโดยใช้วิธีของ Mantel Haenszel (univariate analysis)
กลุ่มตัวอย่าง
: พนักงานขับรถรับส่งผู้โดยสารระหว่างจังหวัดจำนวน 348 คน แบ่งตามเส้นทางการเดินรถเป็นสายเหนือ 121 คน กลาง
80 คน และตะวันออกเฉียงเหนือ 147 คน
การเก็บข้อมูล
: โดยใช้แบบสอบถามและตรวจร่างกายเบื้องต้นเหลือกลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมการศึกษา
255 คน คิดเป็นอัตราเข้าร่วมการศึกษาร้อยละ 73.3
ผลการศึกษา
: พบว่า อัตราความชุกของอาการปวดหลังส่วนล่างในพนักงานขับรถเท่ากับ 71.8
คนต่อประชากร 100 คน
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับอาคารปวดหลังส่วนล่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติได้แก่
· ค่าดัชนีมวลกายเกินมาตรฐาน
(BMI>25)
· ความอ่อนตัวของร่างกายไม่ดี
ระยะเวลาที่สูบบุหรี่มากกว่า 20 ปี
· ผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกาย
ระยะเวลาขับรถ 4-6 ชั่วโมงต่อวัน
· การนั่งขับรถเอนตัวไปข้างหน้าและพิงร่างกายส่วนบนไว้กับพวงมาลัย
· ความรู้สึกมีอิสระในการตัดสินใจระดับต่ำ
· รู้สึกว่ามีแรงสั่นสะเทือนบริเวณเบาะคนขับเล็กน้อยพอทนได้
· มีเสียงรบกวนขณะขับรถ
· ไม่มีที่ปรับเบาะหรือมีแต่ไม่ได้ปรับให้เหมาะสม
· ความรู้สึกว่ามีเวลาอยู่กับครอบครัวไม่เพียงพอ
· ผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุขณะขับรถ
สำหรับความรุนแรงของอาการดังกล่าวพบว่า
ส่วนใหญ่มีอาการปวดหลังในแต่ละครั้งประมาณ 2-7 วันแต่ไม่รุนแรงถึงขั้นต้องหยุดงาน
และตลอดระยะเวลา 1 ปีส่วนใหญ่มีอาการมากกว่า 30 วันแต่ไม่ทุกวัน และหยุดงาน 1-7 วันต่อปี
การดูแลรักษาส่วนใหญ่ใช้วิธีบีบนวดด้วยตนเอง และป้องกันโดยการออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อก่อนการขับรถ
สรุป
จากการศึกษาในครั้งนี้พบว่าอาการปวดหลังส่วนล่างพบได้บ่อยในพนักงานขับรถและเป็นปัญหาสำคัญต่อสุขภาพ
ส่งผลกระทบต่อพนักงาน
รวมถึงเจ้าของกิจการที่ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและการหยุดงาน
ดังนั้นควรจัดให้มีการป้องกันการเกิดอาการดังกล่าวจากปัจจัยที่พบว่าเกี่ยวข้องกับอาการปวดหลังส่วนล่าง
ข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ :
1. ควรจะมีการศึกษาถึงอัตราความชุกของโรคที่เกี่ยวเนื่องจากการประกอบอาชีพ
(Work related disease) ของพนักงานขับรถ เช่น
โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน
รวมถึงสาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในงานได้แก่ การหลับในขณะขับรถ
การขาดประสบการณ์ สาเหตุจากสภาพรถหรือเครื่องยนต์ เป็น
2. ควรจะมีการศึกษาลักษณะการทำงาน เช่น
ท่าทางการทำงาน โดยใช้วิธีการสังเกตของผู้วิจัยจะทำให้ข้อมูลที่ได้รับน่าเชื่อถือมากกว่าการตอบแบบสอบถาม
3. การศึกษาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
ถ้าใช้เครื่องมือในการตรวจวัด เช่น เครื่องวัดแรงสั่นสะเทือน
เครื่องวัดปริมาณเสียงจากเครื่องยนต์ และภายนอกรถ
จะทำให้ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากขึ้น
4. การศึกษาปัจจัยด้านจิตสังคม
นอกจากจะศึกษาในที่ทำงานแล้ว ควรคำนึงถึงปัจจัยจิตสังคมที่อยู่นอกงาน เช่น
ครอบครัว ญาติพี่น้อง ภาวะเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น
ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติการ
:
1. ควรจัดให้มีหน่วยงานรับผิดชอบด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
เพื่ออบรมให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับโรคจากการประกอบอาชีพ
โดยเน้นให้เห็นความสำคัญ
และแนวทางการป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้นในงานโดยเฉพาะโรคปวดหลังส่วนล่าง
2. ควรจัดให้มีการตรวจร่างกายและทดสอบสมรรถภาพในการทำงาน
ความเหมาะสมในหน้าที่ของพนักงานขับรถเป็นระยะ และมีการตรวจตามความเสี่ยง เช่น
ตรวจความอ่อนตัวของร่างกาย นอกเหนือจากการตรวจสุขภาพประจำปี
3. ควรจัดให้พนักงานมีส่วนร่วมในการวางแผนในการทำงาน
หรือรับทราบข้อมูลใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งบริษัท และพนักงานด้วย
4. เมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง
ควรรีบให้การรักษาเพื่อให้สามารถกลับเข้าทำงานได้เร็วที่สุด
เพื่อลดอัตราการเจ็บป่วยเรื้อรัง และการสูญเสียสมรรถภาพการทำงาน
และควรจัดให้มีการตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงานหลังจากมีอาการเจ็บป่วย (Return
to work)
5. ควรจัดโครงการสร้างเสริมสุขภาพของพนักงานขับรถ
เพื่อลดความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคกระเพาะอาหาร
และการบาดเจ็บระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ