วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การระบุเพศโดยการใช้กระดูกต้นขาของผู้ใหญ่ในประชากรไทย

Gender Determination of Thais by Measurements of Adult Femurs

พงษ์พิทักษ์ ภูติวัตร์1* และ สุทัศน์ ดวงจิตร2
1. ภาควิชากายวิภาคศาสตร์, สถานวิจัยเพือ ความเป็นเลิศทางวิชาการด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์
คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ต.ท่าโพธิ +อ.เมือง จ.พิษณุโลก 65000

2. ภาควิชาสรีรวิทยา คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ต.ท่าโพธิ อ.เมือง จ.พิษณุโลก 65000

ความเป็นมา : การตรวจพิสูจน์บุคคลจากกระดูกในงานด้านนิติมานุษยวิทยานันมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ไขคดีอาชกรรมต่างๆได้อย่างมากมาย จุดประสงค์สำคัญอย่างหนึ่งของการตรวจพิสูจน์จากกระดูกคือการระบุเพศโดยการสังเกตจากชิ้นส่วนของกระดูกต่างๆ อย่างไรก็ตามความแม่นยำของเทคนิคนี้ มีความแตกต่างกันในกระดูกแต่ละชิ้นเนื่องจากกระดูกแต่ชิ้นมีลักษณะเฉพาะตัวและปัจจัยภายนอกอื่นๆ ทีเกี่ยวข้องด้วย

วัตถุประสงค์ : การศึกษาการระบุเพศจากกระดูกต้นขาเพื่อเป็นทางเลือกในการใช้กระดูกที่มีความหลากหลายในการระบุเพศ
วิธีการ : โดยวัดกระดูกต้นขาในตำแหน่งการวัดสองตำแหน่งคือ ความยาวทีสุดของเส้นผ่าศูนย์กลางของหัวกระดูกต้นขา (maximum diameter of the femur head (DF)) และความกว้างของ intercondylar ของกระดูกต้นขา (Intercondylar breadth of femur (IF)) ของโครงกระดูกจากห้องปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร์ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จำนวน 128 ชิ้น ซึ่งเป็นเพศชาย 78 ชิ้น และเพศหญิง 50 ชิ้น และคำนวณค่าทางสถิติเชิงพรรณนาต่างๆ พร้อมทั้ง วิเคราะห์การจำแนกเพศโดยใช้ Discriminant function analysis ด้วยโปรแกรม SPSS V.13.5

ผลการศึกษา : ค่าเฉลี่ย ของ DF และ IF ในเพศชายมีค่ามากกว่าเพศหญิง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) พารามิเตอร์ที่มีประสิทธิภาพและมีความแม่นยำในการจำแนกเพศมากที่สุดคือ DF ของกระดูกต้นขา และมีระดับความแม่นยำเป็น 79.70 และ 78.13 เปอร์เซ็นต์ ของกระดูกต้นขาข้างขวาและข้างซ้ายตามลำดับ จาก
การศึกษายังพบอีกว่า นอกจากค่าเฉลี่ยทั้งสองพารามิเตอร์ในเพศชายของประชากรไทยจะมีขนาดใหญ่กว่าเพศหญิงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติแล้ว ลักษณะดังกล่าวนี้ยังสอดคล้องกับการศึกษาในกลุ่มประชากรอื่นๆ ทีผ่านมาอีกด้วย

คำสำคัญ : การระบุเพศ การตรวจพิสูจน์บุคคล กระดูกต้นขา นิติมานุษยวิทยา ประชากรไทย

Credit : วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปีที่  14 ฉบับที  2 เมษายน มิถุนายน 2555